ติณณภัทร์ แก้วเมือง(โอม) : ด้านหนึ่งเขาคือ “สถาปนิก” หนุ่มผู้มากความสามารถ จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย 1 ใน 8 ของไอวีลีก ( Ivy League) หรือกลุ่มสถาบันการศึกษาเอกชนที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงด้านคุณภาพทางการศึกษาที่ดีที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา อีกด้านหนึ่งคือ “ที่ปรึกษา” ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ นับเป็นการผสานทักษะความชำนาญเฉพาะทางได้อย่างลงตัวและน่าสนใจ สัปดาห์นี้มาพูดคุยกับ Managing Director จากบริษัท BLUEDGE CONSULTANT
คอนเซ็ปต์ของบริษัทเราคือ Tailor-made Branding คือทำเรื่องการตลาดและการสื่อสารการตลาด ไปจนถึงเรื่องงานโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าแบบ Customize เลยครับ และอีกอันที่ทำเป็นงานอดิเรก (แต่ก็มีเข้ามาให้ดูแลตลอดๆ) คือเรื่องของการเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบตกแต่งภายใน “บ้านตัวอย่าง” ให้กับโครงการบ้านต่างๆ ซึ่งมันก็ต้องสอดคล้องไปกับเรื่องของ Branding ด้วย
นอกจากงานสถาปัตย์แล้ว ผมยังรู้สึกชอบงานดีไซน์ในแง่มุมอื่นด้วย คือเรื่อง Marketing และ Branding ซึ่งจากที่เรามีความรู้ด้านดีไซน์ด้วย งานที่ปรึกษาของผมจึงมีทั้งสองส่วน ส่วนแรกคือการทำงานร่วมกับสถาปนิก เพื่อกำหนด Look & Feel และ Mood & Tone ของโครงการ ส่วนที่สองจะเกี่ยวกับแบรนด์และการตลาด การที่เรารู้ทั้งสองส่วนและสามารถนำทักษะทั้งสองส่วนนี้มาใช้เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ มันทำให้การทำงานสนุกและผมรู้สึกว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากครับ
เรื่องของการออกแบบประเภทที่อยู่อาศัยและการทำตลาดให้ขายได้เร็วปล่อยได้ไว ผมว่าเราต้องคิด 3 ส่วน คือ 1.ดูคู่แข่งก่อน ว่าตอนนี้เป็นยังไง อยู่ Segment ไหน เขาชูจุดขายเรื่องสไตล์การตกแต่งยังไง สไตล์ไหน ราคาเท่าเราหรือเปล่า เพื่อนำข้อมูลมากำหนดโครงสร้างราคา 2.ดูเทรนด์ เราต้องดูว่าตอนนี้เทรนด์ไปถึงไหนแล้ว 3.ดูลูกค้า ว่าเขาเป็นใคร ชอบอะไร คนสมัยนี้ชอบสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น...3 แกนนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่คนทำธุรกิจและคนที่ทำดีไซน์ต้องรู้ แล้วคุณจะสามารถสร้างคอนเซ็ปต์โครงการออกมาได้ชัดเจนมากๆ
สำหรับงานออกแบบ สิ่งที่ผมเน้นคือเรื่องของความ Practical หรือการประยุกต์ใช้งานได้จริงๆ คือเรามักจะได้ยินคำว่า Form Follows Function กันตลอดเวลา ซึ่งคำว่าฟังก์ชั่นสำหรับสมัยนี้ มันหมายไม่ได้หมายถึงแค่ประโยชน์ใช้งาน แต่มันคืออะไรที่ต้องใช้สบาย อยู่สบายเช่น โซฟาสวยแค่ไหน แต่นั่งไม่สบายก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นมันแปลว่า Form จะต้องสะท้อนถึง Function ที่แท้จริงที่มันต้อง Practical คือฟังก์ชั่นการใช้งานต้องได้ก่อน ส่วนรูปทรงหรือดีไซน์มันจะตามมาหรือไม่อันนี้แล้วแต่
ในแง่ของการแต่งบ้าน อาจยังมีหลายคนที่คิดว่าต้องพึ่งสถาปนิกหรืออินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์ตลอดเวลา แต่ผมว่าทุกวันนี้เรามี Social Media มันมีแรงบันดาลใจอยู่ในนั้นมากมาย มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ มากมาย อยากให้คุณลองลุกขึ้นมาดู แล้วจะรู้ว่า จริงๆ แล้วคุณสามารถหาของดีไซน์สวยๆ ได้ในราคาไม่เท่าไหร่เอง ไม่ต้องพึ่งให้ดีไซน์เนอร์เลือกแทนเรา เราเลือกเองได้ ในราคาที่เรามี ถ้าคุณไว้ใจใน Reference มันจะช่วยได้มาก ผมว่าคนที่อยากแต่งบ้านควรต้องหาแรงบันดาลใจด้วยตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่ไม่เชียร์อินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์นะครับ แต่ผมว่าถ้าคนที่จะแต่งบ้านมีความรู้ความเข้าใจตรงนี้ เราจะทำงานด้วยกันง่ายขึ้น หรือตัวลูกค้าเอง ถ้าจะเลือกใช้บริการสถาปนิกหรืออินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์ไปแล้ว เวลาผ่านไปสักพัก ถ้าเกิดรู้สึกเบื่อหรืออยากเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งแต่มืออาชีพเสมอไปครับ
ผมเคยซื้อเตียงตัวนี้ให้ลูกค้า เพราะดีไซน์เตียงนี้มันดูมีความแข็งแรง ดูมีความเป็นผู้ชาย สีและรูปทรงของเตียง มันเหมาะกับผู้ชายที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง รวมถึงวอลเปเปอร์ของห้องนี้ มันทำให้ห้องมี Signature Wall ช่วยให้บริเวณหัวเตียงดูเด่นขึ้น ทำให้ห้องมันมีชีวิตขึ้น
ชอบมุมนี้ เพราะผมคิดว่าดีไซน์ของตัวชั้นโลหะสีทองข้างหลัง มันมีความ Contrast กับความนุ่มของโซฟา มันชวนให้ห้องดูมีมิติมากขึ้น จากที่มันจะดูแบนๆ หรือกลมกลืนเกินไป และอีกอย่างนึง คือ ชอบรูปภาพด้วย มันค่อนข้างที่จะกล้า Bold ดี...กล้าที่จะเอาภาพแบบนั้นมาใส่ ทำให้ภาพรวมดูมีมิติ